เพิ่มเพื่อน

การระบาดของโควิด-19 ได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกการทำงาน จากเดิมที่

พนักงานออฟฟิศกว่า 94% ต้องเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศทุกวัน กลายเป็นการทำงานจากที่บ้านอย่างกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่างานออฟฟิศส่วนใหญ่สามารถทำจากที่บ้านได้ โดยใช้เพียงคอมพิวเตอร์และการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จากการสำรวจล่าสุดพบว่าปัจจุบันมีพนักงานมือถึง 25% ที่ทำงานจากที่บ้านเต็มเวลา เทียบกับเพียง 6% ในช่วงก่อนเกิดการระบาด

ข้อมูลจาก McKinsey แสดงให้เห็นว่า 35% ของพนักงานมีตัวเลือกในการทำงานจากที่บ้านแบบเต็มเวลาหลังจากการระบาดของโควิด-19 และที่น่าสนใจคือ 52% ของคนทำงานมีโอกาสทำงานจากรีโมทอย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ การสำรวจยังพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่ทำงานจากที่บ้านในปัจจุบันพร้อมที่จะลาออกหากถูกบังคับให้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบเต็มเวลา

เจาะลึกการทำงานจากที่บ้าน (WFH)

การทำงานจากที่บ้านได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนทำงานอย่างมาก ในด้านผลิตภาพการทำงาน การศึกษาพบว่าพนักงานที่ทำงานจากที่บ้านมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 13% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดการเดินทางและการหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนในออฟฟิศ นอกจากนี้ 77% ของพนักงานรายงานว่าพวกเขามีผลิตภาพสูงขึ้นเมื่อทำงานจากที่บ้าน และ 76% ชอบที่จะหลีกเลี่ยงการไปออฟฟิศเมื่อต้องการสมาธิในการทำงานที่สำคัญ

ในแง่ของการประหยัดค่าใช้จ่าย การทำงานจากที่บ้านช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้งของพนักงานและองค์กร พนักงานประหยัดค่าเดินทาง ค่าอาหารนอกบ้าน และค่าเสื้อผ้าสำหรับทำงาน ในขณะที่องค์กรสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านสถานที่และสาธารณูปโภค บริษัทที่เสนอการทำงานจากระยะไกลมีอัตราการลาออกของพนักงานต่ำกว่าถึง 25% ที่น่าสนใจคือ 25% ของพนักงานยอมรับการลดเงินเดือนถึง 10% เพื่อแลกกับโอกาสในการทำงานจากที่บ้าน

อย่างไรก็ตาม การทำงานจากที่บ้านก็มีความท้าทายที่สำคัญ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพจิตและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การศึกษาพบว่าการทำงานจากที่บ้านเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ความรู้สึกโดดเดี่ยว ภาวะซึมเศร้า และความเครียด นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการสื่อสาร โดยพบว่าการสื่อสารแบบเผชิญหน้ายังคงเป็นวิธีที่พนักงานชื่นชอบมากที่สุด และการประชุมผ่าน Zoom อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าได้

การทำงานแบบไฮบริด – ทางเลือกที่กำลังมาแรง

การทำงานแบบไฮบริดกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2022 โดย Future Forum พบว่า 49% ของพนักงานที่ทำงานด้านความรู้ทั่วโลกกำลังทำงานในรูปแบบไฮบริด โดยรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือการทำงานที่ออฟฟิศ 2-3 วันต่อสัปดาห์

ข้อดีของการทำงานแบบไฮบริดคือการผสมผสานข้อดีของทั้งการทำงานจากที่บ้านและที่ออฟฟิศ องค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพื้นที่โดยการจัดสรรพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) พนักงานยังคงมีโอกาสพบปะและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ในขณะที่ยังคงได้รับประโยชน์จากความยืดหยุ่นของการทำงานจากที่บ้าน การศึกษาพบว่าพนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดมีความพึงพอใจในงานสูงกว่าและมีแนวโน้มที่จะลาออกน้อยกว่า

การทำงานที่ออฟฟิศ – ยังมีความสำคัญในยุคดิจิทัล

แม้ว่าการทำงานจากที่บ้านและแบบไฮบริดจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่การทำงานที่ออฟฟิศก็ยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับงานที่ต้องการการทำงานร่วมกันเป็นทีม การวิจัยจาก UC Irvine พบว่าพนักงานออฟฟิศทั่วไปถูกขัดจังหวะการทำงานทุก 11 นาที และต้องใช้เวลา 25 นาทีในการกลับมาโฟกัสกับงานอีกครั้ง ซึ่งแม้จะดูเป็นข้อเสีย แต่การขัดจังหวะบางครั้งก็นำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดใหม่ๆได้เหมือนกัน

ออฟฟิศยังเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาทักษะ โดยเฉพาะสำหรับพนักงานใหม่ การได้สังเกตและเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยการประชุมออนไลน์ นอกจากนี้ การทำงานที่ออฟฟิศยังช่วยสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง

ตารางเปรียบเทียบรูปแบบการทำงาน ทำงานที่บ้าน vs ทำงานแบบไฮบริด vs เข้าออฟฟิศ

ข้อดี-ข้อเสียสำหรับองค์กร

รูปแบบการทำงาน ทำงานที่บ้าน ทำงานแบบไฮบริด เข้าออฟฟิศ
ข้อดี
  • ลดค่าใช้จ่ายด้านสถานที่และสาธารณูปโภค
  • อัตราการลาออกลดลง 25%
  • เพิ่มผลิตภาพการทำงาน 13%
  • สามารถจ้างพนักงานจากทั่วโลก
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารออฟฟิศ
  • ลดค่าใช้จ่ายด้านสถานที่บางส่วน
  • รักษาวัฒนธรรมองค์กรได้ดีกว่า WFH
  • เพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน
  • สามารถจัดประชุมแบบพบหน้าได้เมื่อจำเป็น
  • มีความยืดหยุ่นในการบริหารพื้นที่
  • ควบคุมและติดตามงานได้ง่าย
  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรได้ชัดเจน
  • การสื่อสารและตัดสินใจรวดเร็ว
  • ฝึกอบรมพนักงานได้มีประสิทธิภาพ
  • รักษาความปลอดภัยข้อมูลได้ดี
ข้อเสีย
  • ยากในการสร้างวัฒนธรรมองค์กร
  • การสื่อสารและประสานงานท้าทาย
  • การวัดผลงานทำได้ยาก
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์
  • การฝึกอบรมพนักงานใหม่ทำได้ยาก
  • การจัดการตารางงานซับซ้อน
  • ต้องลงทุนทั้งออฟฟิศและระบบทำงานทางไกล
  • อาจเกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างพนักงาน
  • การสร้างวัฒนธรรมองค์กรทำได้ยาก
  • ค่าใช้จ่ายด้านสถานที่และสาธารณูปโภคสูง
  • ข้อจำกัดในการจ้างพนักงานจากนอกพื้นที่
  • อาจสูญเสียพนักงานที่ต้องการความยืดหยุ่น
  • ต้นทุนในการขยายพื้นที่ทำงานสูง

ข้อดี-ข้อเสียสำหรับพนักงาน

รูปแบบการทำงาน ทำงานที่บ้าน ทำงานแบบไฮบริด เข้าออฟฟิศ
ข้อดี
  • ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
  • ยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • สมดุลชีวิตการทำงานและส่วนตัวดีขึ้น
  • ทำงานในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย
  • ลดความเครียดจากการเดินทาง
  • สมดุลระหว่างการทำงานที่บ้านและออฟฟิศ
  • มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานบางเวลา
  • ประหยัดค่าเดินทางบางส่วน
  • ได้ประโยชน์จากทั้งสองรูปแบบ
  • มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานเต็มที่
  • แบ่งแยกเวลางานและส่วนตัวชัดเจน
  • เข้าถึงทรัพยากรสำนักงานได้เต็มที่
  • โอกาสในการเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน
ข้อเสีย
  • ความรู้สึกโดดเดี่ยว ขาดปฏิสัมพันธ์
  • ยากในการแยกเวลางานและส่วนตัว
  • สิ่งรบกวนจากสภาพแวดล้อมที่บ้าน
  • อาจทำงานล่วงเวลาโดยไม่รู้ตัว
  • โอกาสก้าวหน้าในอาชีพอาจน้อยลง
  • ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป
  • การจัดการตารางเวลาซับซ้อน
  • ยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางบางวัน
  • อาจเกิดความเครียดจากการทำงานหนักเกินไป
  • เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
  • ขาดความยืดหยุ่นในการจัดการเวลา
  • ความเครียดจากสภาพแวดล้อมการทำงาน
  • ยากในการจัดการภาระส่วนตัว

แนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ในปี 2024 และต่อไป เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในโลกการทำงาน:

  1. การมุ่งเน้นที่ทักษะมากกว่าตำแหน่ง: องค์กรจะให้ความสำคัญกับทักษะและความสามารถของพนักงานมากกว่าโครงสร้างลำดับชั้นแบบดั้งเดิม
  2. การขยายการค้นหาคนที่มีความสามารถ: การทำงานจากระยะไกลเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถจ้างพนักงานที่มีความสามารถจากทั่วโลก
  3. การใช้ออฟฟิศเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: ออฟฟิศจะถูกออกแบบใหม่ให้เป็นพื้นที่สำหรับการทำงานร่วมกัน การประชุม และกิจกรรมสร้างทีม มากกว่าการนั่งทำงานคนเดียว
  4. การพัฒนาเทคโนโลยีสนับสนุนการทำงาน: จะมีการพัฒนาเครื่องมือและแพลตฟอร์มใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการทำงานแบบไฮบริดและระยะไกลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกรูปแบบการทำงาน

การเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:

  1. ลักษณะงานและอุตสาหกรรม: บางงานเหมาะกับการทำงานจากระยะไกล เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์ การเขียนเนื้อหา ในขณะที่บางงานจำเป็นต้องมีการพบปะลูกค้าหรือทำงานกับอุปกรณ์เฉพาะ
  2. วัฒนธรรมองค์กร: บางองค์กรให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกันและความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่บางองค์กรเน้นความยืดหยุ่นและผลลัพธ์
  3. กฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: ต้องพิจารณากฎหมายแรงงานและภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำงานจากระยะไกล โดยเฉพาะกรณีที่พนักงานทำงานจากต่างประเทศ
  4. ความต้องการของพนักงาน: พนักงานแต่ละคนมีความต้องการและสไตล์การทำงานที่แตกต่างกัน การให้ทางเลือกและความยืดหยุ่นจะช่วยเพิ่มความพึงพอใจและรักษาพนักงานที่มีความสามารถ
  5. โครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี: ต้องมั่นใจให้องค์กรมีโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่พร้อมสนับสนุนรูปแบบการทำงานที่เลือก รวมถึงระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เหมาะสม

บทบาทของการบริหารทรัพยากรบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วย AI

ในยุคที่รูปแบบการทำงานมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น การมีระบบและเครื่องมือที่เหมาะสมในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลจึงเป็นสิ่งสำคัญ Sprout Solutions นำเสนอตัวช่วยที่ครบครันภายใต้แบรนด์ Totem ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการทำงานทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ทำงานที่บ้าน ทำงานแบบไฮบริด หรือเข้าออฟฟิศ

Totem Attendance เป็นระบบบริหารจัดการการลงเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น รองรับการทำงานจากที่บ้านและการทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexi Time) ด้วยฟีเจอร์ Geofencing ที่ช่วยให้พนักงานสามารถลงเวลาได้จากสถานที่ที่กำหนด พร้อมระบบรายงานแบบเรียลไทม์และการเชื่อมต่อกับระบบเงินเดือน

Totem Leave ช่วยจัดการระบบการลาที่สอดคล้องกับกฎหมายแรงงานไทย มีระบบอนุมัติอัตโนมัติ แอปพลิเคชั่นมือถือสำหรับพนักงาน และปฏิทินการลาที่แชร์ข้อมูลทั่วทั้งองค์กร ช่วยให้การบริหารจัดการการลาเป็นเรื่องง่ายและมีประสิทธิภาพ

Totem Payroll เป็นระบบจัดการเงินเดือนที่ครอบคลุมทั้งโบนัส ค่าคอมมิชชั่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และสวัสดิการต่างๆ พร้อมระบบรายงานสำหรับหน่วยงานราชการ และแอพพลิเคชั่นสำหรับพนักงานที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลเงินเดือนได้ง่าย

ทั้งสามผลิตภัณฑ์ทำงานบนระบบคลาวด์ ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเซิร์ฟเวอร์พิเศษ เพียงแค่มีเว็บบราวเซอร์ก็สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา รองรับการใช้งานทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เหมาะสำหรับองค์กรทุกขนาดที่ต้องการระบบบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทัล

นัดพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อค้นหาความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาองค์กรและธุรกิจของคุณอย่างมั่นคงด้วยเทคโนโลยีที่ยกระดับด้วย AI

Author Photo

Kris Vega

Website, SEO & Creatives Manager

With 9 years of Creative and Marketing experience, Kris Vega shapes the vision for Sprout Solutions' website, managing its content, design, and strategy to deliver exceptional user experiences.

Scroll to Top